งานกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร

งานกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร
งานประเพณีกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หลวงปู่ทองมาสอนลิง


"หลวงปู่สอนลิง" 
สมัยหลวงปู่ทองมาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่ล้อม ผู้เป็นสานุศิษย์ ได้เก็บรวบรวมประวัติหลวงปู่ใหญ่ของพวกเราเพื่อที่จะเผยแพร่บารมีธรรมและเกียรติประวัติหลวงปู่ให้สาธุชนสานุศิษย์ทั้งหลายได้รับรู้ถึงเรื่องราวหลวงปู่ให้ได้มากที่สุด หลวงปู่ล้อมได้สนทนากับหลวงปู่ใหญ่ ใจความตอนหนึ่งหลวงปู่ได้เล่าให้ท่านฟังว่า ช่วงที่หลวงปู่ออกเดินธุดงค์นั้น ในบรรดาสิงสาราสัตว์ทั้งหลายที่หลวงปู่ได้เผชิญในป่าเขาลำเนาไพร สัตว์ที่น่ารำคาญและคอยก่อกวนหลวงปู่นั้น ไม่ใช่เสือสิงห์กระทิงช้างแต่อย่างใด แต่มันคือลิง ใช่มันคือลิงนี่เอง ธรรมชาติของลิงเป็นสัตว์ที่ฉลาดและจะซุกซนกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ บางทีหลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ดีๆ เจ้าจ๋อที่ว่านี้แหละมันก็มาก่อกวนหลวงปู่ เอาหางมาแหย่บ้าง เอามือมาลูบหูบ้าง มาดึงผ้าจีวร ดึงผ้าสังฆาฏิ อยู่อย่างนั้น เป็นอันไม่มีสมาธิในการปฏิบัติธรรมเลย หนักๆเข้านะเวลาหลวงปู่สรงน้ำ (อาบน้ำ) ท่านก็จะถอดผ้าจีวรต่างๆไว้บนฝั่งแล้วท่านก็ลงไปอาบน้ำในลำธาร พอขึ้นมาจากน้ำก็ไม่เห็นผ้านุ่งห่มของท่าน พวกลิงมันเอาไปเล่นเอาไปซ่อน จนหลวงปู่ท่านต้องบอกด้วยน้ำเสียงดุดันว่า อ้าว ! พวกลิงทั้งหลายจงฟังเราให้ดีๆ พวกเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีเวรมีกรรมในชาตินี้แล้ว ชาติหน้าพวกเจ้ายังจะอยากเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ต่ำกว่านี้อีกหรืออย่างไร เหมือนว่าพวกฝูงลิงจะเข้าใจในสิ่งที่หลวงปู่พูดอยู่ แม้มันจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องก็ตาม สักพักมันก็เอาผ้าหลวงปู่มาคืน หลวงปู่จึงได้สอนพวกลิงว่า ดูเอาเถิดเจ้าลิงเอ๋ย แม้ว่าพวกเจ้าจะเกิดเป็นลิงก็ตาม ไม่อยู่ในฐานะที่จะเจริญเมตตาภาวนาอย่างมนุษย์ได้ แต่หากพวกเจ้าทั้งหลายนี้ มีใจยินดีกับมนุษย์ผู้มาบำเพ็ญเพียรอย่างเรา ไม่ขัดขวางก่อกวนพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วนั้น ผลบุญอันเกิดจากการอนุโมทนาร่วมกับกองบุญนี้ ก็จะบังเกิดแก่พวกเจ้าทั้งหลายด้วย ทางพระจะเรียกว่า “ปัตตานุโมทนามัย” แปลว่า บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา เมื่อหลวงปู่พูดสอนพวกจ๋อจอมยุ่งนี้แล้ว พวกมันก็ต่างมองตาซึ่งกันและกัน แล้วก็มองหน้าหลวงปู่ แล้วก็พากันแยกย้ายไป และพวกมันก็ไม่เคยมาก่อกวนและขัดขวางหลวงปู่ในการปฏิบัติธรรมอีกต่อไปเลย
บันทึกโดยหลวงปู่ล้อม สีลสังวโร
@เพจหลวงปู่ทองมา ถาวโร จ.ร้อยเอ็ด
https://www.facebook.com/LuangpuThongmaTawaro101

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"หลวงปู่ถอดคุณไสย์ ให้หญิงสาว"


"หลวงปู่ถอดคุณไสย์ ให้หญิงสาว"

ราวปี พ.ศ.2527 วันนี้มีญาติโยมมาจากทาง จ.กาฬสินธุ์ มาเป็นครอบครัว พ่อเป็นกำนัน พาลูกสาวอายุประมาณ 15 ปี มาขอให้หลวงปู่ช่วย พ่อเล่าว่าลูกสาวของตนได้ไปทำงานที่กรุงเทพ แล้วโดนใส่ของมา (โดนคุณไสย์) พูดจาเหม่อลอย ไม่ได้ใจความ เสมือนคนสติไม่ดี และมักจะโหยหาคนรักที่อยู่กรุงเทพตลอดเวลา พูดจาวกไปวนมา บอกจะกลับไป กรุงเทพให้ได้ ญาติๆเลยพาเข้ามากราบหลวงปู่ทองมา ที่วัดสว่างท่าสี หลวงปู่ก็ให้อาบน้ำมนต์ เมื่อหลวงปู่สาดน้ำมนต์ให้เท่านั้น หญิงสาวก็กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทรมาน ญาติๆและผู้ที่อยู่เหตุการณ์ต่างพากันตกใจกลัวจนขนลุกไปตามๆกัน มีสามเณร พระสงฆ์ในวัดมามุงดู จำนวนหนึ่ง หญิงสาวเริ่มมีอาการตัวเขียวคล้ำ หลวงปู่ก็บริกรรมคาถา พร้อมกับราดน้ำมนต์ใส่ตัวหญิงสาว หญิงสาวเธอกรีดร้องไม่หยุด ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดทรมาน จนเธอร้องออกมาว่า พ่อๆ !!! พ่อ ! ช่วยหนูด้วย หนูร้อน (ทั้งที่น้ำมนต์หลวงปู่เป็นน้ำเย็น) หนูเจ็บปวด ทนไม่ไหวแล้ว หนูจะไปหาเขา หนูรักเขา พูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้น จนผู้เป็นพ่อทั้งสงสารและโมโหลูก จึงได้ ตบ ตี ลูกสาว ต่อหน้าคนอื่น จนหลวงปู่ต้องให้คนมาห้ามเอาไว้
หญิงสาวเริ่มควบคุมสติไม่อยู่ ตัวก็เริ่มเขียวคล้ำ พยายามจะถอดเสื้อผ้าออกแต่ญาติๆ ก็พากันจับเอาไว้ หญิงสาวได้คลานเข้าไปกอดขาหลวงปู่ บอกว่า หนูยอมแล้ว ปล่อยหนูไปเถอะ ขอร้องหลวงปู่ ขณะนั้นเองผู้เป็นพ่อได้เข้ามากระชากตัวเธอออกมาจากหลวงปู่แล้วใช้ไม้ก้านมะพร้าวฟาดเข้าที่ตัวเธอ พ่อของเธอตีลูกทั้งน้ำตาไปหลายครั้ง เป็นที่น่าสงสารและสะเทือนใจมาก ต่อหน้าต่อตาผู้คน จนเธอต้องวิ่งหนีออกไปจากนอกวัด ให้หลีกพ้นจากผู้คน เหตุการณ์อลหม่านอยู่พักหนึ่ง ญาติๆต่างพากันวิ่งไล่จับตัวเธอมาหาหลวงปู่ต่อ “หลวงปู่กล่าวสั้นๆ ว่า ขอให้ลูกตั้งสติให้มั่น อย่าให้อธรรม มาชนะจิตใจเราได้ ตั้งจิตให้มั่น เอาไว้ “ เสมือนว่า ครั้งนี้เธอจะเข้าใจที่หลวงปู่พูด อาการอาละวาดของเธอเริ่มจะลดลง หลวงปู่ราดน้ำมนต์ใส่ตัวเธอ พร้อมกับบริกรรมคาถาเบาๆ ครั้งนี้เธอดิ้นชักกระตุก และอาเจียนออกมาเยอะมากๆ จนเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้ที่ผู้ในเหตุการณ์ แต่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อเธออาเจียนออกมาจนหมด เธอก็เริ่มจะมีสติ พูดจาดี รู้เรื่อง ถามพ่อกับแม่ว่า เราอยู่ที่ไหน เรามาทำอะไร ผู้คนอยู่ในเหตุการณ์รวมทั้งญาติๆต่างพากันดีใจ ปลาบลื้ม ทั้งน้ำตา ที่ลูกของตนกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว จากนั้นหลวงปูท่านก็ให้ทำพิธีรับเข้าเป็นลูกพระธรรม และรับศีลรับพร เธอมาเล่าให้ฟังตอนหลังว่าเธอไม่ได้รักชายคนนั้นเลย เธอโดนคุณไสย์ใส่ตัว ตัวเธอและญาติๆกราบลาหลวงปู่ทองมา พร้อมกับอาการมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในที่สุดเธอก็กลับมาเป็นคนเดิมได้แล้ว ส่วนคนที่ใส่ของคงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะใครทำดีต้องได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว กรรมจะต้องตามสนองพวกเขาเหล่านั้นแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ให้มีสติตั้งมั่น พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ เป็นที่ตั้ง หลวงปู่ย้ำเสมอ ไม่มีอะไร จะมาทำอะไรเราได้ กราบสาธุ

หลวงปู่ทองมา ถาวโร พระอริยสงฆ์แห่งเมืองร้อยเอ็ด

คุณภูมิ : อดีตสามเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟัง
นิโรธ : ผู้เผยแพร่ / เรียบเรียง 

เพจเฟซบุ๊คหลวงปู่ทองมา ถาวโร .จ.ร้อยเอ็ด

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประวัติหลวงปู่ทองมา ถาวโร พระอริยสงฆ์ผู้วิเศษ แห่งเมืองร้อยเอ็ด


ประวัติหลวงปู่ใหญ่ทองมา ถาวโร (แบบย่อ)
.....ชาติภูมิ.....
หลวงปู่ทองมา ถาวโร เกิดเมื่อ วันพุธ เดือน ๙ ปีชวด พ.ศ.๒๔๔๓ ที่บ้านท่าสี ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน (สมัยก่อนเป็น อำเภอ กลมลาไสยแขวงเมืองกาฬสินธุ์ แล้วเปลี่ยนมาเป็น อำเภอโพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ) หลวงปู่ทองมา เกิดในตระกูล ภูมิวัลย์ บิดา ชื่อนาย แก่นท้าว ภูมิวัลย์ มารดาชื่อ นางหา ภูมิวัลย์ ท่านมีพี่น้องร่วมสายโลหิต จำนวน ๘ คน เป็นชาย ๔ คน หญิง ๔ คน ท่านเป็นคนลำดับที่ ๒
.....ปฐมวัย.....
เด็กชายทองมา ในวัยเด็กมีนิสัยชอบสันโดษ ไม่ค่อยจะซุกซนเหมือนกับเด็กวัยเดียวกัน บิดาและมารดามักจะพาไปทำบุญที่วัดสว่างท่าสีอยู่สม่ำเสมอ พออายุเข้าโรงเรียนได้ พ่อแม่ก็ได้ส่งไปเรียนหนังสือกับญาติที่เมืองกาฬสินธุ์ จนจบชั้น ป.๔ สูงสุดของโรงเรียนในตอนนั้น เด็กชายทองมาเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาดเฉลียว เมื่อเรียนจบท่านก็ได้กลับมาที่บ้านท่าสีเหมือนเดิม เด็กชายทองมาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ชอบช่วยเหลืองานการของบิดามารดาอย่างดี ตอนนี้เด็กชายทองมาก็มีอายุได้ ๑o ปี
พอกลับมาจากกาฬสินธุ์ พ่อแม่ก็ส่งให้ไปเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เตียง เจ้าอาวาสวัดสว่างท่าสีในขณะนั้น เด็กชายทองมาได้ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างตั้งใจและพอ อก พอใจอย่างยิ่งที่ได้เรียนธรรมะหรือได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระพุทธองค์ เมื่อเด็กชายทองมา อายุครบ ๑๕ ปี ก็ได้มีครูใหญ่โรงเรียนบ้านเชียงใหม่มาขอให้นายทองมาไปเป็นครูสอนที่โรงเรียน นายทองมาสอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ก็ลาออกมาอุปสมบทเป็นสามเณรต่อไป


.....บรรพชาและอุปสมบท.....
นายทองมา ภูมิวัลย์ ได้เข้ารับการพรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี ๒๔๕๘ ที่วัดบ้านงิ้วโพธิ์ชัย อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด มีพระอธิการคำ เป็นพระอุปัชฌาย์ ตอนเป็นสามเณร ท่านเรียนบุพพสิกขาวรรณา เรียนสวดมนต์น้อย สวดมนต์กลาง สวดมนต์ใหญ่ จนจบ หลังจากนั้นท่านก็กราบลาพระอาจารย์เตียง ไปเรียนต่อนักธรรม ๑-๒-๓ ที่ วัดป่าน้อย จ.อุบลราชธานี แล้วได้ย้ายไปเรียนต่อที่ สำนักเรียน วัดบ้านไผ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยเรียนวิชา มูลกัจจายย์ กับพระอาจารย์คำภา จนจบ อายุของสมาเณรทองมาในตอนนี้ก็ครบ ๒o ปีบริบูรณ์ ท่านจึงเดินทางกลับมาอุปสมบท ในปี ๒๔๖๓ ที่วัดบ้านท่าม่วง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พระครูสีลาจารย์วิสุทธ์ เป็นพระอุปัชชาย์ สำเร็จเป็นพระภิกษุ เมื่อเวลา o๕.oo น. ได้รับฉายาว่า "ถาวโร" แปลว่า ผู้มั่นคงในธรรม ภายหลังจากบวชเสร็จแล้วไม่นาน หลวงปู่ก็ได้กลับไปเรียนธรรมะที่ จ.อุบลราชธานี ที่วัดบ้านท่าศาลา ต.ชีทวน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี กับพระอาจารย์ชื่อ พระมหาพันธ์ เรียนหลักสูตรเปรียญธรรมประโยค ๑-๒-๓-๔ จนจบ แล้วกราบลาอาจารย์ออกธุดงค์วิเวกต่อไป
.....ออกจาริกธุดงค์.....
หลวงปู่กราบลาพระอาจารย์จากอุบลราชธานีเพื่อจะออกไปธุดงค์วิเวกไปในป่าเขาพงไพร ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกจิตให้กล้าแกร่ง เข้มแข็ง หลวงปู่ปรารภว่า การออกเดินธุดงค์ในครั้งนี้หากต้องเจอกับพยันอันตรายใดๆในป่า ก็จะขออุทิศชีวิตเพื่อธรรมะของพระพุทธองค์ จะขอยึดมั่นในพระรัตนตรัยตราบจนกว่าจะขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไป แม้ตายก็ขอตายในป่า หลวงปู่มุ่งไปยังนครจำปาสักเป็นที่แรก ระยะทางก็มีแต่ป่าเขา ลำเนาไพร ปักกรด อยู่ตรงนี้ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง แล้วแต่สถานที่นั้นๆ บางวันก็เจอทั้งเสือ ทั้งช้าง มาให้เป็นบททดสอบ บางวันก็ไม่มีคนใส่บาตรก็ต้องเก็บผลไม้ที่หล่นมาจากต้นมาฉันพอให้มีแรงในการปฏิบัติธรรม บางคืนบางครั้งก็เจอกับภูตผีปีศาจ มาคอยรบกวนในการปฏิบัติธรรม หลวงปู่ก็ต้องแผ่เมตตาให้ทั้งวันทั้งคืน เวลาอาพาธก็ต้องหาสมุนไพรในป่ามาฉันพอให้บรรเทาอาการลงได้ ถึงกระนั้นเองหลวงปู่ท่านก็ยังมีใจเด็ดเดี่ยว ดุจดังเพชรน้ำหนึ่ง เปรียบเสมือนว่าเพชรจะสวยได้ต้องผ่านการเจียระไน จิตใจของผู้ที่ประเสริฐแล้วนั้น ก็ต้องผ่านการทดสอบเป็นธรรมดา ไปถึงจำปาสักท่านก็ได้ไปเรียนวิชาต่างๆกับพระอาจารย์(ไม่ทราบนาม) เรียนสมาธิ เรียนวิชาอาคมต่างๆ และก็ลาออกจาริกธุดงค์ไปยังประเทศเวียดนาม พม่า ลาว บางก็ว่าท่านธุดงค์ไปประเทศอินเดียด้วย

.....ธุดงค์กลับประเทศไทย.....
หลวงปู่ออกธุดงค์ไปหลายที่จนเป็นเวลาหลายปี ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าท่านไปที่ไหนมาบ้าง นอกจากญาติโยมจะถามท่านเองหรือท่านจะเล่าให้ญาติโยมฟัง มีบางครั้งที่ท่านเล่าสั้นๆว่าท่านไป ที่โน้น ที่นี้ บางคนก็จำได้ ก็เล่าต่อๆกันมาให้ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ท่าน ปักกรดอยู่ในป่าเมืองลาวนั้น ท่านก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วท่านก็สวดคาถา ระหว่างนั้นเองได้มีเสียงร้องโหยหวน เหมือนเจ็บปวดทรมาน เหลือเกิน หลวงปู่ท่านจึงเข้าฌานดู ปรากฏว่า ที่หลวงปู่ปักกรดอยู่นั้น เคยเป็นหมู่บ้านเก่า สมัยก่อนเกิดโรคระบาดหนักคนตายทั้งหมู่บ้าน ตายไปแล้ววิญญาณก็ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม พอได้ยินเสียงหลวงปู่สวดคาถาก็ร้องโหยหวน ทรมาน เพราะคาถาที่หลวงปู่สวดอยู่นั้นเป็นคาถาไล่ผี หลวงปู่จึงได้หยุดสวด และเรียกให้วิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้มาฟังธรรม หลวงปู่แผ่เมตตา ให้รับศีลแล้วก็ส่งดวงวิญญาณเหล่านี้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นต่อไป

.....จำพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุอุโมงค์ จ.ร้อยเอ็ด ( ปี ๒๔๘๒ - ๒๔๙o).....
ราวปี ๒๔๘๒ เมื่อหลวงปู่ธุดงค์กลับมาร้อยเอ็ดแล้วนั้น หลวงปู่ยังไม่ได้มาจำพรรษาที่วัดสว่างท่าสีเลย แต่หลวงปู่เลือกที่จะไปจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์สิงห์(สิงห์ทอง) วัดพระธาตุอุปโมงค์ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นพระธาตุเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่สิงห์ทองท่านมรณภาพลงแล้ว ท่านก็สั่งให้หลวงปู่ทองมานำพาชาวบ้านบูรณะพระธาตุอุปโมงค์ให้แล้วเสร็จ หลวงปู่ทองมาได้พาชาวบ้านบูรณะพระธาตุอุปโมงค์อยู่เป็นเวลาหลายปีจนเสร็จสิ้น ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่เอง ท่านได้เทศนาสั่งสอนญาติโยม ให้อยู่ในศีลกินในธรรม ด้วยบารมีธรรมและความเมตตาของหลวงปู่ทำให้ชาวบ้านศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่อย่างยิ่ง
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีวิญญาณร้าย เที่ยวหลอกหลอนและคอยก่อกวนชาวบ้านจนชาวบ้านนั้นหวาดกลัว มาก หลวงปู่จึงได้เรียกดวงวิญญาณดวงนี้มาถามไถ่ แต่ด้วยดวงวิญาณดวงนี้ไม่เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า หลวงปู่จึงได้ใช้คาถาอาคมเรียกวิญญาณตนนี้ มาผูกติดกับต้นมะม่วงหน้าวัด แล้วให้ดื่มน้ำสาบานว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่มารบกวนชาวบ้านอีกต่อไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นดวงวิญาณดวงนี้อีกเลย มีเพียงตอนกลางคืนที่ยังมีบางคนคนได้ยินเสียงกิ่งไม้ต้นมะม่วงสั่นไหวไปมา ขนก็ลุก พลั้งให้คิดถึงดวงวิญาณที่เคยถูกหลวงปู่ผูกติดกับต้นมะม่วงไม่ได้

.....จำพรรษาอยู่ที่วัดสว่างท่าสี วัดบ้านเกิด ( ปี ๒๔๙o - มรณภาพ ๒๕๓๔).....
ราวปี ๒๔๙o พระอาจารย์เตียง เจ้าอาวาสวัดสว่างท่าสี ได้มรณภาพลง ชาวบ้านท่าสี เลยได้ไปนิมนต์หลวงปู่ทองมา ถาวโร ให้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสว่างท่าสี นับตั้งแต่ปี ๒๔๙o เป็นต้นมา ในเวลานี้เองหลวงปู่ทองมา ถาวโร ได้มาจำพรรษอยู่ที่วัดสว่างท่าสีแล้ว หลวงปู่ทองมาขณะนี้อายุได้ ๕๒ ปี ๓๒ พรรษา หลวงปู่ท่านได้นำพาสาธุชนทั้งหลาย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พัฒนาวัดวาอารามทั้งในวัดบ้านเกิดและวัดในจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงวัดใดๆ ที่ได้มาขอความเมตตาให้ท่านเป็นประธานในการบูรณะ ท่านก็ได้เมตตาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เช่น วัดบ้านท่าม่วง จ.ร้อยเอ็ด วัดป่าเมตตาธรรม จ.ร้อยเอ็ด วัดจอมแจ้ง จ.เพชรบูรณ์ วัดบ้านท่ามะเดื่อ จ.ขอนแก่น และอีกหลายๆวัดที่ ไม่ได้กล่าวถึง เป็นต้น
วัตรปฏิบัติของท่านอีกด้านหนึ่ง คือด้านการส่งเสริมการศึกษา โดยท่านจะเป็นครูผู้สอนให้กับพระภิกษุสามเณร ที่มาบวชเรียนที่วัด ซึ่งในสมัยก่อนนั้นการบวชเป็นพระภิกษุนิยมบวชกันตั้งแต่ ๑ พรรษา ไปขึ้น บางรูปก็ ๒-๓-๔ หรือ มากกว่านี้ ก็เคยมี ส่วนการบวชเณรก็มีสามเณรมาบวชตลอดเวลา เรียกได้ว่าไม่เคยขาดวัดเลย ท่านก็คอยอบรบสั่งสอน รวมถึงส่งไปเรียนหนังสือในตัวเมืองและในกรุงเทพ เลยทีเดียว รวมถึงพระธุดงค์ที่เดินทางมาเรียนวิชาคาถาอาคมกับท่านก็มีเยอะ ชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคำบอกเล่าแบบปากต่อปาก เพราะความเจริญการสื่อสารในสมัยก่อนล้าหลังมากๆ โทรศัพท์ไม่มี ทีวีมีน้อย วิทยุก็หาได้ยาก ส่วนอินเทอร์เน็ตก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ผู้คนจะรู้จักหลวงปู่ท่านโดยการบอกเล่าเท่านั้นจริงๆ
.....ปราบผี โปรดผี.....
ด้วยอภิญญาที่หลวงพ่อทองมา ถาวโร ที่มีอยู่จริง บางครั้งญาติโยมก็มานิมนต์ให้ท่านไป ปราบผีปอบ สมัยก่อนเรื่องผี เป็นเรื่องที่ชาวบ้านให้ความสำคัญมาก บางพื้นที่ชาวบ้านไหว้ผีแทบจะไม่ไหว้พระเลยก็มี ท่านก็เมตตาไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และให้สร้างหลักพระธรรมในหมู่บ้านนั้นๆ แต่ก็อย่างที่กล่าวมาเมื่อเห็นว่า หมู่บ้านนี้หลวงปู่มาปราบผีปอบ ได้สำเร็จ เมื่อหมู่บ้านไหนเชื่อว่า ผีปอบ มาคร่าเอาชีวิตของชาวบ้านไป ชาวบ้านก็จะบอกต่อกันไปว่าพระองค์นี้ดี เก่งกล้าบารมี ชาวบ้านก็ต่างก็พากันเดินทางมานิมนต์หลวงปู่ไป ปราบผีปอบ หลวงปู่ท่านก็เดินทางไปโปรดและเมตตาไปเจริญพระพุทธมนต์เทศนาสั่งสอน ทั้งผีและคน ให้ยึดมั่นในศีลในธรรม แล้วก็เมตตาสร้างหลักพระธรรมไว้ให้ชาวบ้านได้กราบสักการะบูชา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ‪#‎ให้เอาพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่าได้เอาผีมาเป็นที่พึ่ง‬ หมู่บ้านนั้นก็กลายเป็นหมู่บ้านธรรมทีนที และอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เกิดอาเพศใดๆกับคนในหมู่บ้าน หลายหมู่บ้านหลายจังหวัดทั้งที่มีหลักฐานปรากฏและคำบอกเล่าของชาวบ้านผู้ที่ศรัทธา หมู่บ้านที่ท่านไปเจริญพระพุทธมนต์เมตตาสร้างหลักบ้านหลักพระธรรมก็มีเยอะแยะมากมายหลายจังหวัด เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู อุดรธานี ข่อนแก่น บึงกาฬ เพชรบูรณ์ เป็นต้น

แต่เรื่องก็ไม่ได้จบอยู่เพียงเท่านี้ คือ ความเชื่อของชาวบ้านแต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางที่ก็เชื่อเรื่อง ผีบอป ผีตาหลุบ ผีปู่ตา ผีนา ผีฟ้า ผีคอนโบม สาพัดผี แล้วแต่ชาวบ้านจะเรียกขาน หลวงปู่ท่านก็ได้เมตตาไปโปรด ไปปราบ ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์แล้วท่านก็เมตตาสร้างหลักพระธรรมหลักบ้าน ไว้ให้ชาวบ้านกราบสักการบูชาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน จนนับไม่ถ้วน ชาวบ้านเลยขนานนามท่านว่า "พระผู้พลิกแผ่นดินผี ให้เป็นแผ่นดินธรรม" เก่งกล้าสามารถใน การปราบผี โปรดผี ชื่อเสียงของท่านก็เลยดังกระฉ่อนเลื่องลือไปทั่ว หลังจากนั้นเองญาติโยมก็หลั่งไหลมากราบนมัสการขอพรท่านถึงที่วัดทุกวัน บางคนก็มาขอของดีในการทำมาค้าขาย บางคนก็มาขอของดีในการออกรบสงคราม ปราบโจรผู้ร้าย ให้แคล้วคลาดปลอดภัย ท่านก็ให้ไปด้วยความเมตตาทุกคนเท่าเทียมกัน
.....รักษาคนบ้า.....
ยังมีเรื่องนี้น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ เรื่องหลวงปู่รักษาคนบ้าให้หาย คือ คนบ้า วิกลจริต ทั้งที่เชื่อว่าโดนของ (คุณไสย์) ของเขมร ท่านก็ให้การักษาอยู่ที่วัดจนอาการหายดี จนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ญาติๆ และชาวบ้านที่พบเห็นจนกลายเป็นเรื่องปรกติไปเลย หากชาวบ้านใกล้วัดได้ยินสียงร้องตะโกนแสดงว่าในวัดต้องมีคนบ้า คือกำลังไล่จับคนบ้ากันอย่างอลหม่าน บางคนถึงขนาดต้องใส่โซ่คล้องไว้ติดกับเสาวัดก็เคยมี หรือบางครั้งได้ยินเสียงร้องโหยหวน ร้องห่มร้องไห้ นั้นแหละรู้เลยว่าหลวงปู่กำลังไล่ผีออกจากคน ฟังดูแล้วอาจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ หรือเป็นเรื่องที่งมงายสำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ชาวบ้านญาติโยมที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันเอาหัวเป็นประกันว่าเรื่องแบบนี้ คือเรื่องจริง !


.....ปัจฉิมวัย.....
ภายหลังหลวงปู่ทองมา ถาวโร ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัยหรือวัยชราภาพ อายุท่านได้ประมาณ ๗o ปี แต่ร่างกายท่านก็ยังคงแข็งแรงความจำดีเป็นเลิศ หากชาวบ้านจะมานิมนต์ท่านไปที่ไหนท่านก็จะไปทันทีไม่เคยปฏิเสธเลย ถ้าท่านไม่ติดกิจธุระ หากท่านไม่ได้เดินทางไปไหน ท่านก็จะมาคอยโปรดญาติโยมที่กุฎีหน้าห้องของท่านอยู่ทุกวัน เวลานี้ที่วัดของท่านจะมีญาติโยมมาคอยกราบนมัสการทุกๆวัน เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เช่น ขอนแก่น อุดร หนองบัวลำภู อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ ยโสธร ศรีษะเกษ สุรินทร์ ฯ รวมไปถึงญาติโยมที่อยู่ประเทศลาวก็เคยมานมัสการท่านเลย เวลานอนพักผ่อนของท่านแทบจะไม่มี หรือมีน้อย กว่าจะโปรดญาติโยมเสร็จเวลาก็ล่วงเข้าไป ๑ ทุ่ม ๒ ทุ่มแล้ว ท่านถึงได้มีเวลาสรงน้ำ สวดมนต์ เจริญ ศีลภาวนา แผ่เมตตา ให้ลูกหลานลูกเผิ่งลูกเทียน กว่าจะได้หลับจริงก็โน้นแหละ ๕ ทุ่ม เทียงคืน บางวันตี ๒ ก็มี แล้วหลวงปู่ท่านก็ต้องตื่นตีแต่เช้า เพื่อมาทำวัตรเช้า พอฉันข้าวสร็จ ก็มาโปรดญาติโยมที่เดินทางจากต่างถิ่น ที่พวกเขามารอตั้งแต่เช้า เพราะทุกคนที่มาต่างก็รู้ดีว่าถ้ามาสายแล้วผู้คนจะเยอะรอคิวก็นานแบบนี้ หลวงปู่ท่านก็ได้เมตตาช่วยเหลือทุกคนโดยที่ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเลย แล้วแต่ญาติโยมจะบริจาคทำบุญ ๙ บาท ๑o บาท ตามกำลังศรัทธา ที่สำคัญหลวงปู่ท่านไม่เคยหลบเลี่ยงไปไหนเลยแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไรท่านก็จะไม่เคยบ่นแม้แต่น้อย หน้าตาของหลวงปู่อิ่มเอิบอยู่เสมอ ท่านบอกเสมอว่าเขาเดือดร้อนเขาจึงมาพึ่งพระ เราต้องช่วยเหลือเขาถึงจะถูกต้อง ‪#‎เพราะเฮาเป็นพระของชาวบ้าน‬ และที่สำคัญไปกว่านั้น หลวงปู่ท่านมีความเมตตากับทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่เลือกว่าจะยากดีมีจน จะเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติโยมที่มาจากต่างถิ่น ท่านเมตตาทุกคนเท่าเทียมกันหมด ณ ตอนนี้ผู้คนชาวบ้านทั้งหลาย ได้ขนานนามท่านว่า ท่านคือ "พระโพธิสัตว์" มาโปรดผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก เดือดเนื้อร้อนใจ เป็นร่มโพธิ์ทองให้พุทธศาสนิกชนได้อาศัยร่มใบบุญบารมี ของท่านมาจนถึงทุกวันนี้
ในวัย ๘o ปี หลวงปู่ท่านเริ่มชราภาพอย่างเห็นได้ชัดเจน เวลาท่านเดินเหินก็ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยัน และมีคนคอยดูแลใกล้ชิดตลอด หลวงปู่ท่านมีศิษยานุศิษย์เยอะโดยเฉพาะสามเณรที่บวชเรียนที่วัด ที่ได้คอยอุปฐากหลวงปู่ คอยพยุง คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา บางครั้งถ้ามีอาการอาพาธก็ต้องได้นั่งรถเข็น โดยมีสามเณรและญาติโยมคอยสับเปลี่ยนดูแลท่านอย่างใกล้ชิด รวมถึง คุณวิชาหลานของท่านเอง ที่ได้คอยดูแลอยู่ไม่ห่างเลย
ในวัย ๙o ปี หลวงปู่มีอาการอาพาธอย่างรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น หลายครั้ง และต้องได้นั่งรถเข็น ประกอบกับท่านก็ชราภาพมากแล้ว ชาวบ้านญาติโยมทั้งหลายพอทราบข่าว ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมท่านที่วัดมาการบสักการะท่านเพิ่มขึ้นไปอีกนับเท่าตัว ท่านรักษาอาการอยู่ใน รพ.ศรีนครินทร์ อยู่หลายครั้ง อาการอาพาธของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น สร้างความกังวลแก่ศิษยานุศิษย์และชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนที่ทราบข่าวต่างก็สวดมนต์ภาวนาขอพรพระรัตนรัยและสิ่งสักสิทธ์ทั้งหลาย บันดาลอนุภาพให้หลวงปู่ใหญ่ของพวกเรา หายจากอาการอาพาธและอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมให้แก่พวกเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
.....อวสาน สังขารไม่เที่ยง.....
เวลา o๘.oo น. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เสียงกลองเพลจากวัด ตีดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ ได้ยินไปถึงสรวงสวรรค์เบื้องบน ชาวบ้านที่กำลังทำนา ทำไร่ ประกอบกิจอันใดต่างพากันหยุดทันที บัดนี้ต้นโพธิ์ใหญ่ของพวกพวกเราได้หักโค่นลงแล้วหลวงปู่ใหญ่อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราได้จากพวกเฮาไปแล้ว น้ำตาชาวบ้านหลั่งรินปานสายฝน ผู้ที่กำลังอยู่ท้องทุ่งนาก็ต่างรีบเข้ามา กราบสักการหลวงปู่แสดงความอาลัยกราบขอขมาลาโทษ ศิษยานุศิษย์ที่ได้ทราบข่าวก็ต่างทยอยเดินทางมากราบสักการะสังขารของหลวงปู่ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน หลวงปู่ของพวกเราสิ้นแล้ว หลวงปู่ของพวกเราสิ้นแล้ว น้ำตาแห่งความศรัทธาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ไหลรินลงมาราวกลับแม่น้ำในมหานทีก็ไม่ปาน สิริรวม อายุหลวงปู่ได้ ๙๑ ปี ๗๑ พรรษา

สังขารหลวงปู่ถูกเก็บเอาไว้ ณ ศาลาวัดสว่างท่าสี เป็นเวลา ๕ เดือน เพื่อให้สานุศิษย์ พ่อค้า ประชาชน ทั้งหลายได้เดินทางเข้ามากราบสักการะโดยทั่วกัน และได้จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๙  เมษายน  ๒๕๓๕ ณ เมรุชั่วคราว บริเวณวัดสว่างท่าสี และจุดที่พระราชทานเพลิงศพนี้ได้กลายมาเป็นมณฑปหลวงปู่ทองมาและบรรจุเถ้าอัฐิและรูปหล่อหลวงปู่ ไว้ให้สานุศิษย์ได้กราบไหว้สักการบูชามาจนถึง ทุกวันนี้  ญาติโยมทั้งหลายสามารถเดินทางมากราบนมัสการขอพร หลวงปู่ทองมาได้ทุกวัน


ทุกๆปีทางชาวบ้านญาติโยมบ้านท่าสี-หนองสำราญ จะจัดงานทำบุญใหญ่ประจำปีในระหว่างช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือ ต้นเดือนมีนาคม แล้วแต่ทางวัดจะได้ออกประกาศตามสมควร  ชาวบ้านจะเรียกงานบุญนี้ว่า งานบุญหลวงปู่ใหญ่” เนื่องจากว่า หลวงปู่ทองมาท่านได้พาญาติโยมที่นี้ จัดงานบุญนี้ขึ้นมาเป็นประจำทุกๆปี จนกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้




เรียบเรียงโดย :นิโรธ ณ หนองแค
หากผิดพลาด ขาดตกบกพร่อง ก็ขออภัย มา ณ โอกาสนี้
อ้างอิง หนังสือประวัติที่เขียนโดยพระครูวิมล สังวรคุณ วัดป่าเมตตาธรรม ปี ๒๕๔o
หนังสือประวัติที่เขียนโดยคุณถนอม อนุกูล ปี ๒๕๑๘
หนังสือประวิติที่เขียนโดยคุณอรุณ ประดับสินธุ์ ปี ๒๕๔๔
หมายเหตุ : ใช้เผยแพร่เป็นธรรมทานได้
 *ไม่อนุญาติให้นำไปใช้ในเชิงพานิชย์*
ติดต่อเพิ่มเติม : nirodunisignal.gm@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ฟ้าผ่าไม่ตาย เชื่อบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร คุ้มครอง


๑ ศรัทธาปาฎิหารย์ ฟ้าผ่าไม่ตาย เชื่อบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร คุ้มครอง 

เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อวันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๒ ฟ้าผ่าพ่อใหญ่สอนและพ่อใหญ่จารย์ลอย 
เรื่องมีอยู่ว่าทั้ง ๒ ท่านนี้ เป็นคนบ้านเหล่าแขม ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ที่ตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดในปัจจุบัน วันนั้นพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนออกไปเลี้ยงควายตามประสาชาวบ้าน วันนั้นเกิดฝนตกฟ้าคะนองหนักมาก ลมก็กันโชกแรง ระหว่างนั้นพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนจึงเดินไปเก็บใบตาลมากำบังฝนเพราะใบตาลมีขนาดใหญ่ถึงแม้จะกันฝนไม่ให้เปียกได้แต่ก็พอจะกันหนาวได้บ้าง ทั้งสองพ่อใหญ่ยืนอยู่กลางที่โล่งแจ้งไกล้ๆกับบึงหนองน้ำ ขณะที่สองพ่อใหญ่กำลังยืนอยู่นั้น อยู่ๆ ฟ้าก็ผ่า ดังเปรี๊ยง !!! ลงมาตรงที่สองพ่อใหญ่ยืนอยู่ จนใบตาลแตกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ พ่อใหญ่จารย์ลอยและพ่อใหญ่สอน หมดสติล้มลงในทันที พอดีที่มีเณรมาเห็นจึงรีบวิ่งไปตามชาวบ้านมาช่วย และหามทั้งสองพ่อใหญ่เข้าไปในวัด ชาวบ้านกับพระในวัดได้ใช้เหล้าขาวเป่าตามตัวแล้วก็ให้ก็รีบพาทั้งสองพ่อใหญ่ไปส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนร่างกายของสองพ่อใหญ่จะเป็นรอยไหม้พาดลงมาจากไหล่ถึงเอวและตรงคอพ่อใหญ่ลอยจะเป็นรอยไหม้ของสร้อยคอและช่วงจากบริเวณลิ้นปี่จรดศีรษะสีคล้ำดำ และใต้หน้าอกด้านซ้ายลำตัวเป็นรอยช้ำนิดหน่อย

แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจ คือ แม้ผิวหนังของทั้งสองท่านจะเป็นรอยไหม้เพราะโดนสายฟ้าผ่าก็ตาม
แต่ผิวหนังของทั้งสองพ่อใหญ่กลับไม่มีเลือดออกสักหยดเดียวไม่มีรอยแผลที่เกิดจากฟ้าผ่าเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าแบบไม่ "ระคายผิว" เลย 

เชื่อว่าบารมีของ หลวงปู่ทองมา ถาวโร ที่ห้อยอยู่ที่คอของพ่อใหญ่จารย์ลอยนั้น บัลดาลอานุภาพ
ปกป้องสองพ่อใหญ่ให้ปลอดภัยแคล้วคลาดจากฟ้าผ่าในครั้งนี้ไม่ให้เสียชีวิตทั้งที่ควรจะตายไปแล้วในวันนั้น ชาวบ้านต่างพากันวิพากวิจารย์กันไปทั่วตำบล ถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับสองพ่อใหญ่นี้ ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าที่สองพ่อใหญ่รอดชิวิตจากฟ้าผ่า ราวปาฏิหารย์ในวันนั้น เกิดจากบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร วัดสว่างท่าสี ป้องป้องคุ้มครองท่านทั้งสองให้รอดพ้นพยันตราย ส่วนเหรียญหลวงปู่ทองมาที่เลี่ยมพระห้อยติดกับสร้อยคอนั้นจะมีรอยบิ่นและดำเล็กน้อยมีพยานรู้เห็นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ที่ได้มามาตรวจสอบพื้นที่และชาวบ้านอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์พอจะเป็นพยานหลักฐานยืนยันว่า นี้คือ "เรื่องจริง" (นายทวีชัย ชัยธรรม เป็นหนึ่งในคนที่ได้เข้าไปช่วยเหลือในวันนั้นเล่าให้ฟัง) เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง ๒ นาย ที่ปรากฎในรูปนั้นยังมีชีวิตอยู่ และปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ ท่านก็เป็นนายตำรวจระดับชั้นนายพัน (ยศจะเลื่อนตามลำดับเวลา) ส่วนพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนและยายบุญอิ่มได้เสียชีวิตไปแล้วในเวลาหลายปีต่อมา (ขอให้ท่านไปสู่สุคติภูมิ)

 (ขออภัยที่ได้นำภาพท่านมาเปิดเผยโดยไม่ได้ขออนุญาติจากทางญาติ 
เราเพียงแค่อยากเสนอเรื่องราวบารมีธรรมหลวงปู่ทองมา ถาวโร เพื่อเป็นธรรมทาน เท่านั้น สาธุ)

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระคาถาสอบไล่ได้ โดยหลวงปู่ทองมาถาวโร


พระคาถาภาวนา สอบไล่ได้ โดยหลวงปู่ทองมา ถาวโร

นะโปงปุ ทะลุปัญญา พระพุทนำพา พระธาคิดได้
มุตโต มุตตัง สะระณัง มุตโต

ถ้าจะให้เกิดปัญญาเลิศกว่าคนทั้งหลาย ให้เสกน้ำ เสกข้าวกิน

ด้วยพระคาถาบทนี้
นะโปงปุ ทะลุปัญญา พระพุทนำพา พระธาคิดได้
มุตโต มุตตัง สะระณัง มุตโต
เมื่อเข้าสอบไล่ ให้ภาวนา เสกน้ำดื่ม กลืนแล

เป็นพระถาถาหลวงปู่ทองมา ถาวโร ถ่ายทอดโดย พระครูวิมลสังวรคุณ (หลวงปู่ล้อม สีลสังวโร)
วัดป่าเมตตาธรรม จ.ร้อยเอ็ด ศิษยานุศิษย์ผู้มีปัญญาเลิศ ของหลวงปู่ทองมา ถาวโร
เป็นพระคาถาที่หลวงปู่ใช้ภาวนาเวลา และถ่ายทอดให้ลูกศิษย์มาจนถึงทุกวันนี้ สาธุhttps://www.facebook.com/LuangpuThongmaTawaro101

ตำนานพระธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ถาวโร



ตำนานพระธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ถาวโร

วัดป่าวัดธาตุอุปมุง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านสร้างบุ ต.โพธิ์ศรีสว่าง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด โดยวัดป่าวัดธาตุอุปมุงห่างจากหมู่บ้านสร้างบุ ประมาณ ๕oo เมตร เป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีอายุประมาณหลายร้อยปี 

แรกเริ่มเดิมทีพระธาตุแห่งนี้จะนำไปบรรจุไว้ที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม แต่เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นค่อนข้างจะลำบาก อย่างยิ่ง อีกทั้งทุรกันดาร ค่ำไหนนอนนั้น ข้ามป่าข้ามเขา กว่าจะถึงที่หมายต้องใช้การเดินทางเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้(บ้านสร้างบุ) คณะเดินทางก็ได้ทราบข่าวจากทางนครพนมว่า พระธาตุพนมได้สร้างเสร็จแล้วจึงได้ซ่อนพระธาตุไว้ในป่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นป่ารกทึบ คำว่า “อุปมุง” มีที่มาว่า เมื่อก่อนเพระธาตุเป็นแค่ “อูป” (มีลักษณะคล้ายเตาถ่าน) ในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้เป็นป่าดงดิบไม่ค่อยมีคนหรือสัตว์เลี้ยงเข้าไป เพราะมันน่ากลัวมากคนแก่คนเฒ่าเล่าว่า ถ้าหากว่ามีสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควายเข้าไปในเขตสถานที่นี้ แล้วจะชักตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เล่ากันว่าในดงแห่งนี้มี “เม่ง” (เม่งเป็นสัตว์คล้ายงูจงอางแต่ตัวใหญ่มาก) ในคืนวันพระพระจันทร์เต็มดวงจะมีเสียงกังวานมากภายในป่าแห่งนี้และมีเสียงร้องดังเหมือนเสียงของงูจงอางหรือแมงง่วง (จักจั่นใหญ่) ถ้าหากในวันพระวันใดได้ยินเสียงร้องของตัวเม่งจะมีคนนอนตายโดยไม่ทราบสาเหตุในคืนนั้น ทำให้ไม่มีใครเข้าไปในป่าแห่งนั้น ต่อมามีผู้พบเห็นพระธาตุอุปมุงเป็นคนแรกคือ หลวงปู่สิงห์ทอง(หรือหลวงปู่สิงห์) เล่าว่า หลวงปู่ท่านเป็นพระธรรมยุติ เดินธุดงค์ มาปักกลดที่ป่าแห่งนี้ ท่านได้นั่งสมาธิ ในระหว่างนั้นมีผีสางนางไม้มารบกวนท่านอยู่มิได้ขาด ท่านได้เทศนาบอกกล่าว แล้วจิตวิญญาณเหล่านั้นก็หายไป คงเหลือแต่เม่งที่ไม่ยอมฟังท่านเลย มีการต่อสู้กันทางใน (สมาธิจิต) เป็นเวลานาน ในที่สุดตัวเม่งเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้และยอมที่จะไม่รังแกสัตว์และมนุษย์อีก ต่อมาท่านก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ท่านก็รู้ทางสมาธิจิตว่าที่นี่มีพระธาตุและสารีริกธาตุอยู่ในที่แห่งนี้ ท่านจึงอยู่ประจำและสร้างวัดขึ้นในที่แห่งนี้ และตั้งชื่อวัดว่า #วัดป่าพระธาตุอุปมุง ท่านได้พาชาวบ้านสร้างที่ประดิษสถานพระธาตุขึ้นใหม่จากแต่ก่อนเป็นอูปเหมือนเต่าถ่านและได้ต่อเติมให้สูงขึ้น โดยนำดินเหนียวจากหนองผำ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด โดยนำดินเหนียวมาปั้นบนพิมพ์สี่เหลี่ยม แกะพิมออกแล้วตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปเผาไฟอีกทีหนึ่ง เสร็จแล้วนำไปก่อเป็นสถูปเจดีย์ โดยใช้ยางโบ่ง (เป็นยางไม้ชนิดหนึ่งที่มีความเหนียวมาก) เพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีปูนซีเมนต์ จึงเอายางไม้มาใช้แทน ท่านได้สร้างพระธาตุเพียงครึ่งองค์เท่านั้น ท่านก็มรณะเสียก่อน โดยท่านหลวงปู่สิงห์ทอง ได้กล่าวกับหลวงปู่ทองมา ก่อนจะมรณะว่า หากว่าเรา ตายไปแล้วนั้น ให้ท่านทองมา มาจำวัดอยู่ที่แห่งนี้เพื่อบูรณะองค์พระธาตุต่อให้เสร็จนะ (หลวงปู่สิงห์ทองเคยเป็นอาจารย์หลวงปู่ทองมา สมัยที่ท่านยังบวชเป็นสามเณรและเรื่อยมาจนเป็นภิกษุ) เมื่อหลวงปู่สิงห์ทองมรณะภาพลงแล้วนั้น หลวงปู่ทองมา ถาวโร จึงได้มาจำวัดอยู่ที่พระธาตุอุปมงต่อ

ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘o-๒๔๙๕ ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ องค์พระธาตุ โดยหลวงปู่ทองมา ถาวโร หลวงปู่ทองมาพร้อมทั้งชาวบ้านและญาติโยมได้สร้างสถูปครอบองค์พระธาตุจนสำเร็จ ว่ากันว่าสมัยตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ ข้างในจะเป็นโพรงสามารถเข้าไปกราบไหว้พระ ข้างในองค์พระธาตุได้ และในนั้นจะมีพระพุทธรูปซึ่งแกะสลักจากไม้ประมาณสิบกว่าองค์ รวมทั้งพระพุทธรูปทองเหลืองและหอกดาบสมัยเก่า (ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ในพระธาตุที่ปรักหักพังลงมาและทับโพรงนี้ไว้)

ประมาณในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อหลวงปู่ ทองมา ถาวโร ย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่ วัดสว่างท่าสี บ้านท่าสี ต.เกาะแก้ว อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด (ในสมัยนั้นปัจจุบันคือ อำเภอเสลภูมิ) เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ พระธาตุอุปมุงได้พังลงมาพร้อมกับพระธาตุพนม แต่พระธาตุพนมพังตอนกลางคืน ส่วนพระธาตุอุปมุงพังตอนกลางวัน เล่ากันว่าในคืนวันพระชาวบ้านจะเห็นแสงลอยออกจากพระธาตุไปทางทิศใต้ของวัดแสงนั้นมีลักษณะเป็นแสงสีขาวใส สวยงาม คล้อยแสงดาวหาง ในเวลากลางคืนช่วงที่เห็นมักจะเป็น ช่วงเวลา ๒ ทุ่ม ไปจนถึง ๓ ทุ่ม แสงที่ว่านี้จะลอยสูงจากพื้นดินประมาณ ๒-๓ ร้อย เมตร ลอยไปอย่างช้าๆ

ปัจจุบันวัดป่าพระธาตุอุปมง ยังมีให้เห็นและสามารถกราบนมัสการได้ แต่จะมีสภาพที่ทรุดตัว ทลาย เหมือนในรูป ส่วนหลวงปู่ทองมา ถาวโร หลังจากที่ท่านได้บูรณะพระธาตุอุปมงเป็นที่เรียบร้อย เสร็จสิ้น แล้ว ตามเจตนารมณ์ของพระอาจารย์สิงห์ทองที่ท่านสั่งไว้ ท่านก็เดินทางมาจำพรรษาที่ วัดสว่างท่าสี รวมเวลาที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าพระธาตุอุปมง ประมาณ ๑๕-๒o ปี ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้นท่านก็ได้โปรดชาวบ้านญาติโยมทั้งหลาย ให้อยู่ในศีล ในธรรม เทศนาเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าจนเป็นที่กล่าวขวัญมาจนถึงทุกวันนี้ สาธุการ

*******************************************************************************************

ตำนานวัดป่าวัดธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ตอนหนึ่งมีตอนหนึ่งกล่าวว่า 
หลวงปู่ทองมา เรียก ผี มาผูกไว้กับต้นมะม่วง

สมัยนั้นวัดป่าวัดธาตุอุปมงพอสิ้นหลวงปู่สิงห์ทอง ก็ได้มีหลวงปู่ทองมา มาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เป็นเวลาสิบว่าปี หลวงปู่สิงห์ทองผู้เป็นครูได้ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้หลวงทองมา ถาวโร ในหลายๆด้าน เมื่อหลวงปู่ทองมา มาจำพรรษาท่านก็ได้บูรณะพระธาตุอุปมงจนแล้วเสร็จ และได้โปรดวิญาณร้ายที่มารบกวนชาวบ้าน จนเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านในแคล้วนั้น ครั้งหนึ่งมีวิญาณร้ายตนหนึ่งเที่ยวมา รบกวนหลอกหลอนชาวบ้าน ทำร้ายชาวบ้าน จนชาวบ้านหวาดกลัว โดยไม่เกรงกลัวต่อพระธรรมและหลวงปู่ทองมาเลยแม้แต่น้อย หลวงปู่ทองมา ท่านจึงต้องกำราบบ้างให้เข็ดหลาบ คืนวันนั้นหลวงปู่ได้เรียก วิญญาณร้ายตนนั้น มาผูกติดกับต้นมะม่วงหน้าวัด เพราะวิญญาณตนนี้เฮี้ยนนัก พูดดีๆไม่ฟังมีแต่จะหลบหนี หลวงปู่จึงจำเป็นต้องมัดไว้กับต้นมะม่วง และก็ให้ผีตนนี้ดื่มน้ำสาบานตนว่า ต่อไปนี้จะเลิกรบกวนและเลิกทำร้าย ชาวบ้านอีกต่อไป พร้อมทั้งเทศนาให้ผีตนนี้ได้ถึงบาปกรรมต่างๆ พอเสร็จพิธีหลวงปู่ก็ปล่อยวิญญาณตนนี้ไป ...

ตอนนั้นผมยังเด็กประมาณ 7 ปี ผมได้ไปเข้ากรรม (ปฏิบัติธรรมที่เข้มงวด) ที่วัดพระธาตุอุปมงกับยายพอเข้ากรรมเสร็จแม่มารับผมกับยายประมาณตอน 5 ทุ่ม พอออกมาถึงทางเข้าวัดที่มีต้นมะม่วงใหญ่ ต้นมะม่วงมันสั่นผมดูแล้วไม่น่ามีใครมาสั่นเพราะมันดึกแล้ว แม้แต่ลมพัดก็ยังไม่มี ยายเลยพูดขึ้นมาลอยๆว่าไม่ต้องไปส่งหรอก รู้แล้ว ตอนนั้นผมยังคิดอยู่ว่าไม่เห็นมีใครมาส่งสักคนเลย 

หรืออาจเป็นไปได้ว่า ผีตน นั้นผิดคำสาบาน เลยถูกมัดจองจำอยู่แบบนั้นหรือปล่าว หรืออาจเป็นไปได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เฝ้าบริเวณทางเข้าประตูวัดอาจจะทักทายและพลอยยินดีปรีดา ที่ผมกับยายได้มาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ สาธุ ถึงยังไงก็ตาม เรื่องราวของพระธาตุอุปมงหลวงปู่สิงห์ทองและหลวงปู่ทองมา ก็ยังคงเป็นเรื่องจริงของญาติโยมชาวบ้านที่นั้น และจะยังคงอยู่ในความศรัทธาเลื่อมใส ของชาวบ้านตลอดกาล สาธุ สาธุ สาธุ 

ขอบคุณสมาชิกที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ณ โอกาสนี้

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

หลวงปู่ทองมา ฆ่าเสือมือเปล่า

๑ ศรัทธาปาฏิหารย์ (บทพิเศษเป็นแต่งผญา)

ตอน ฆ่าเสือมือเปล่า
มาบัดนี่ มาสิกล่าว เป็นผญา
ขององค์หลวงปู่ทองมา หันมาฟังทางนี้
สิตัดตอน มาไห่ ตอนธุดงค์ ยุไพรป่า
กับอาจารย์ ซื่อคำภา ผู้เพิ่ลสอน ไห่เฮียนฮู้
ฟังเบิ่งดู้ ฟังเบิ่งเอา...
มามื้อนี้ ทองมานั้น อยากออกไป อยู่ในป่า
คูบาคำ-ภาเจ้า บ่ขัดข่อง เคืองใจ
เอ้าฮันนี้ ว่าอยากไป ยุ่ในป่า..ว่าตี้
พอสิถึง เวลา ให้เจ้า ทองมานี่
เตรียมจัดแจง อัฐะเจ้า บริขาร อย่าได้ขาด
เทิงบาตรขัน กาน้ำ ฮ่มได้ บ่อนเซา
หย่างไปดง บ่อนนั้น บ่อนสงบ เงียบงัน
ไห่เจ้าฟ้าว ไปสา เดินดุมไป ทางทิศนั้น
อย่าท่าคอย ตะเว็นค้อย มันสิค่ำ กลางทาง
ไห่ไปฮอด ไปเถิง ก่อนค่ำ ตะเว็นมืด
เฮามีควม สั้นสั้น จื่อไว้ ไห่เจ้าฟัง
ได้ยินเสียง อีหยัง อย่าได้วาย ตื่นเต้น
สติ ต้อง ตื่นโต...
ไห่เจ้าทอง มานี่ อยู่แต่ ในกรด
อย่าสิออก นอกมุ้ง เป็นแท้ ให้จื่อเอา ...เด้อทองมา
ข้าน้อยขอ ลาก้อน ลาก่อน เด้อจารย์
มันสิค่ำ เดินทาง งมซาว มืดฟ้า
ขอลาแล้ว ออกดุ่ม เดินไป
ห่างจากศา-ลาวัด หลายโล คือเว้า
จ้ำเข้าจ้ำ หย่างเอา ปานแล่น
ย่านมันมืด ต่อนหน้า สิเข้าป่า บ่อทัน...ตั้ว
เอ้าล่ะ หม่องนี้ล่ะ หม่องเป็น ตาอยู่
พอแต่ปัก กรดแล้ว ตะเว็นค้อย กะตกดิน
แมงจักจั่นแจ้ว จ้าวแจ้ว เสียงหวาน
ฮ้องจนดัง กังวาน ทั่วดง แดนนี้
เทิงเสียงนก เสียงค้าง สัตว์สา วาสิ่ง
เสียงลิงฮ้อง เอิ้นลูก ฟังแล้ว กะม่วนหู...อยู่เด้
บัดตกดึก มาแล้ว มาเงียบคัก ปานป่าผี
มีแต่เสียง ลมพัด ใบไม้ตีง ยามลมต่อง
ดีดีแล้ว สิภาวนา สาก่อน
ดึกดึกบาดนี้ บ่มีแนว มากวนกาย ..แท้แหล่ว
พุทธโธ พุทธโธ พุทธโธ
ว่ายุนี้ หายใจ เข้า-ออก
ใจกะคึด ฮอดบ้าน คิดฮอด บ่อนเซา
เพิ่ลคูบา กะสอนไว้ อย่าได้หน่าย ว่าพุทธโธ
โตมันหัด ทันแข็ง มันกะมี หน่ายบ้าง
ขันติ นั้นซอยได่หลาย....
พอแต่ดวง จันท์ค้อย เอียงทาง มาเน
คาดว่าตี สองแล่ว จั่งสิได่ เอนกาย
ฮ้วย ฮ้วย ฮ้วย เสียงดัง แก๊บบ ๆ
มันแม่นเสียง อิหยัง มาหย่างเดิก ปานนี้
หือแม่นเสียง โจรนั้น โจรป่า มาปล้น
มันบ่อแม่น เสียงคน หย่างดัง ปานนี้
ฮ่วย ฮ่วย ฮ้วย หือแม่นเสียง ผีป่า
มาหลอกพระ หลอกเจ้า มันเป็นบาป
มันเป็นกรรม...แท้เด้
ฮ้วย ฮ้วย ฮ้วย ไห่เจ้าเซาหย่าง สาก่อน
อย่ามาหา ก่อกวน พระผู้ทรง ศีลเจ้า
เสียงหย่างย่อง วนอยู่ ข้างกรด
มันบ่อหนี ไปไส หย่างแฮง ดังขึ้น
เอ้าบาดนี้ สิเปิดกรด ลองเบิ่ง
ไห้มันเห็น แก่นแท้ โตนั้น แม่นหยัง
หาเทียนไต้ จุดไฟ เบิ่งกะน้า
มันแม่นโต อิหยัง มาคอยวน เวียนรอบ
บาดแต่เบิด มุ้งขึ้น ขนลุก เหมิดคีง
หันสิตีงไปไส กะหนีไป บ่อได่
มันเป็นเสือ กลอนฮ้าย ลายพาด กลอนใหญ่
ตาใสปาน ลูกแก้ว แวววับ กว่าแสงเทียน
มันมาคอย เวียนวน จอบยอง กินซี้น
โตกะใหญ่ สูงฮ้าย ว่าปาน งัวน้อย
สิมาจอบ กินเฮา ยามหลับ เป็นได่
พอตะมี สติได่ จำควม เพิ่ลอาจารย์
แม่นสิพ้อ อันได่ กะอยู่แต่ ในหม่องนี้
อย่าหาแล่น แต่ทางหนี...
นอนบ่หลับ ฮอดเซ้า ตะเว็นขึ้น ฟ้าสาง
ออกหาทาง มาวัด มากล่าวจา อาจารย์เจ้า
เป็นซั่งซี้ ล่ะคูบา.......
เพิ่ลอาจารย์ คำภา กะหัวเราะ ยิ้มเป้ย ๆ
ตายไปน้อ ทองมาเจ้า ผู้นั่งเว้า ยุต่อหน้า..นี้น้อ
อย่าสิท้อ อย่าสิหวั่น ไห่เจ้าหัน ลงก้มหน้า
เบิ่งผ้าจีวร...เด้อ...
ผ้าผืนนี้ ซื่อว่าผ้า พุทธโธ
โตเจ้านั้น ซื่อว่า ลูกบรมเจ้า อย่าได้กล่าว ว่าลูกไผ
เฮาได้น้อมถวาย ตายเพื่อพลี ธรรมะเจ้า..แม่นบ่
ไห่เจ้าไป คืนนี้ ลองเบิ่ง อีกจักเทื่อ ไห่เจ้าเอา ธรรมนั้น
ต่อสู้กับเสือ พอได้ฟัง จารย์เว้า น้าตานอง อยู่ในหน่วย
เฮามา ขี้ล้ายแท้ เสียชาติ ลูกพุทธโธ ...
เอาคืนนี้ สิกลับไป ควมเพิ่ลว่า
มันสิตาย กะบ่ย้าน ตำนานนั้น ได้ซาลือ
ก่อนสิไปคืนนี้ ของดี มีไห่ ได่เอาปูน หมากเคี้ยว
ติดย่ามไปนำ คันได้พ่อ เสือนั้น ไห่เอาปูน บาดคอเสือ
มันสิเหมิด เฮื่อแฮง สิ้นลาย แดดิ้น...
ฟังเพิ่ลจารย์ ว่าแล้ว อดหัวยุในใจ
มันสิตาย บ่อนได่ เสือลาย โตนี้
แต่เพิ่ลเอา ปูนไห่ เอาไว่ สาก่อน
ติดย่ามไว่ เบาแท้ กว่าหิน
ตัดมาตอน ดึกเงียบ เข้ามาหา บ่อนเก่า
บ่อนเคยพ่อ เสือฮ้าย คืนนั้น บ่ทันลืม
ดึกดึกนี้ นั่งอยู่ ภาวนา บ่ได้ยินเสียงหยัง
เงียบงัน ปานนี้ ... บ่นั่งโดน รอซ้า ขวบเก่า มาถึง
ฮอดเวลาตีสอง เสียงหย่าง มาอีกแหล่ว
มาบัดนี้ บ่ได้วาย ย้านแล่น หัวใจแกร่ง แข็งกล้า
มานั่งถ้าแต่โดนๆ ...มาโลด
ได้ยินเสียง คำรามก้อง สนั่นป่า เวลาดึก
ใจกะคอง ตั้งถ้า เวลานี้ ไห่หย่างมา
พอแต่เปิดมุ้งแล้ว เหลียวหา บ่ต้องยาก
หากว่าเสือ โตนี้ ยืนถ้า บ่อนเดิม
พอแต่เห็น ท่อนั้น ใจกะหวั่น อยู่ในเอิก
แม่นสิบ่ ย้านตาย กะย้านเจ็บ ปวดร้าว
พอแต่คิด ฮอดพ่อ ปูนขาว เคี้ยวหมาก
เพิ่ลอาจารย์ สั่งไว้ จกปาด คอเสือ
เปิดกับออก เอานิ้วมือ จกปูนขาว
สิไปปาด คอมัน บ่ได้รี รอรั้ง
กลั้นหายใจ เอาไว้ เด่มือ สาก่อน
เสือมันยืน ยุต่อนหน้า ทองมานั้น ปาดคอเสือ
ทองมานั้น สู้กับเสือ ...
แล้วๆนั้น เอนกาย ลงนอน อย่าสิไป ออนซอน
เสือได้หนี ไปแล้ว คันบ่หนี ถวายแล้ว ชีวัน สังขาร
สิมากินตอนได่ กะคาบไป เอาโลด
ฮอดตอนนี้ แดดส่อง พสุธา
ฟังแต่เสียง ไก่ป่า ขันปลุก ลุกเซ้า
มองเบิ่ง แขนขานี้ กะบ่มี หยังขาด
บ่มีบาด แผลเลือด คมแข่ว เล็บเสือ
ฮู้ว่าเฮา ผุ้นี้ ยังบ่ทันตาย กะสิฟ้าว ต่าวเตื้อง
เข้าสู่อาราม...ถ่อนตั้ว
พอบายกา น้ำได่ รินหลั่ง ลงขัน
ว่าสิเอามาเท ล้างตา หู ปาก
คันแต่ยก ขันขึ้น สะยานฮ้อง ตกใจ
มองไปเห็น เงาขัน คือคอ ขาวพาด
พอสิทิ่ม ขันน้ำ เหมิดเฮื่อ อ่อนแฮง
เสือที่เฮา ว่าฮ้าย มันซางเป็น แนวนี้
มันคือเสือ โตนี้ โตใหญ่ ในจิต
มันเป็นเสือ ความคิค วนอยู่ใน หม่องนี้
บัดนี้ได่ ฮู้แจ้ง ฮุงเฮือง ปัญญา
เพิ่ลอาจารย์ คำภา เพิ่ลกะมี ญานแท้
ไห่เอาปูน เคี้ยวหมาก ต่อสู้กับเสือ
มันบ่อแม่น เสือหยัง กะเสือเฮา โตนี้
สิค่อยคอย ฝึกกล้า ฝึกวิชา ไห้กล้าแก่
หนหางไกล ยุบ่อนหน้า นิพพานพ่อ อยู่บ่ไกล
นิพพานนั้น อยู่บ่ไกล แท้แหล่ว..ทองมาเอย
ประพันธ์โดย นิโรธ ณ หนองแค