งานกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร

งานกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร
งานประเพณีกราบนมัสการ หลวงปู่ทองมา ถาวโร

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ฟ้าผ่าไม่ตาย เชื่อบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร คุ้มครอง


๑ ศรัทธาปาฎิหารย์ ฟ้าผ่าไม่ตาย เชื่อบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร คุ้มครอง 

เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อวันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๒ ฟ้าผ่าพ่อใหญ่สอนและพ่อใหญ่จารย์ลอย 
เรื่องมีอยู่ว่าทั้ง ๒ ท่านนี้ เป็นคนบ้านเหล่าแขม ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ที่ตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดในปัจจุบัน วันนั้นพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนออกไปเลี้ยงควายตามประสาชาวบ้าน วันนั้นเกิดฝนตกฟ้าคะนองหนักมาก ลมก็กันโชกแรง ระหว่างนั้นพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนจึงเดินไปเก็บใบตาลมากำบังฝนเพราะใบตาลมีขนาดใหญ่ถึงแม้จะกันฝนไม่ให้เปียกได้แต่ก็พอจะกันหนาวได้บ้าง ทั้งสองพ่อใหญ่ยืนอยู่กลางที่โล่งแจ้งไกล้ๆกับบึงหนองน้ำ ขณะที่สองพ่อใหญ่กำลังยืนอยู่นั้น อยู่ๆ ฟ้าก็ผ่า ดังเปรี๊ยง !!! ลงมาตรงที่สองพ่อใหญ่ยืนอยู่ จนใบตาลแตกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ พ่อใหญ่จารย์ลอยและพ่อใหญ่สอน หมดสติล้มลงในทันที พอดีที่มีเณรมาเห็นจึงรีบวิ่งไปตามชาวบ้านมาช่วย และหามทั้งสองพ่อใหญ่เข้าไปในวัด ชาวบ้านกับพระในวัดได้ใช้เหล้าขาวเป่าตามตัวแล้วก็ให้ก็รีบพาทั้งสองพ่อใหญ่ไปส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนร่างกายของสองพ่อใหญ่จะเป็นรอยไหม้พาดลงมาจากไหล่ถึงเอวและตรงคอพ่อใหญ่ลอยจะเป็นรอยไหม้ของสร้อยคอและช่วงจากบริเวณลิ้นปี่จรดศีรษะสีคล้ำดำ และใต้หน้าอกด้านซ้ายลำตัวเป็นรอยช้ำนิดหน่อย

แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจ คือ แม้ผิวหนังของทั้งสองท่านจะเป็นรอยไหม้เพราะโดนสายฟ้าผ่าก็ตาม
แต่ผิวหนังของทั้งสองพ่อใหญ่กลับไม่มีเลือดออกสักหยดเดียวไม่มีรอยแผลที่เกิดจากฟ้าผ่าเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าแบบไม่ "ระคายผิว" เลย 

เชื่อว่าบารมีของ หลวงปู่ทองมา ถาวโร ที่ห้อยอยู่ที่คอของพ่อใหญ่จารย์ลอยนั้น บัลดาลอานุภาพ
ปกป้องสองพ่อใหญ่ให้ปลอดภัยแคล้วคลาดจากฟ้าผ่าในครั้งนี้ไม่ให้เสียชีวิตทั้งที่ควรจะตายไปแล้วในวันนั้น ชาวบ้านต่างพากันวิพากวิจารย์กันไปทั่วตำบล ถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับสองพ่อใหญ่นี้ ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าที่สองพ่อใหญ่รอดชิวิตจากฟ้าผ่า ราวปาฏิหารย์ในวันนั้น เกิดจากบารมีหลวงปู่ทองมา ถาวโร วัดสว่างท่าสี ป้องป้องคุ้มครองท่านทั้งสองให้รอดพ้นพยันตราย ส่วนเหรียญหลวงปู่ทองมาที่เลี่ยมพระห้อยติดกับสร้อยคอนั้นจะมีรอยบิ่นและดำเล็กน้อยมีพยานรู้เห็นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ที่ได้มามาตรวจสอบพื้นที่และชาวบ้านอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์พอจะเป็นพยานหลักฐานยืนยันว่า นี้คือ "เรื่องจริง" (นายทวีชัย ชัยธรรม เป็นหนึ่งในคนที่ได้เข้าไปช่วยเหลือในวันนั้นเล่าให้ฟัง) เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง ๒ นาย ที่ปรากฎในรูปนั้นยังมีชีวิตอยู่ และปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ ท่านก็เป็นนายตำรวจระดับชั้นนายพัน (ยศจะเลื่อนตามลำดับเวลา) ส่วนพ่อใหญ่จารย์ลอยกับพ่อใหญ่สอนและยายบุญอิ่มได้เสียชีวิตไปแล้วในเวลาหลายปีต่อมา (ขอให้ท่านไปสู่สุคติภูมิ)

 (ขออภัยที่ได้นำภาพท่านมาเปิดเผยโดยไม่ได้ขออนุญาติจากทางญาติ 
เราเพียงแค่อยากเสนอเรื่องราวบารมีธรรมหลวงปู่ทองมา ถาวโร เพื่อเป็นธรรมทาน เท่านั้น สาธุ)

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระคาถาสอบไล่ได้ โดยหลวงปู่ทองมาถาวโร


พระคาถาภาวนา สอบไล่ได้ โดยหลวงปู่ทองมา ถาวโร

นะโปงปุ ทะลุปัญญา พระพุทนำพา พระธาคิดได้
มุตโต มุตตัง สะระณัง มุตโต

ถ้าจะให้เกิดปัญญาเลิศกว่าคนทั้งหลาย ให้เสกน้ำ เสกข้าวกิน

ด้วยพระคาถาบทนี้
นะโปงปุ ทะลุปัญญา พระพุทนำพา พระธาคิดได้
มุตโต มุตตัง สะระณัง มุตโต
เมื่อเข้าสอบไล่ ให้ภาวนา เสกน้ำดื่ม กลืนแล

เป็นพระถาถาหลวงปู่ทองมา ถาวโร ถ่ายทอดโดย พระครูวิมลสังวรคุณ (หลวงปู่ล้อม สีลสังวโร)
วัดป่าเมตตาธรรม จ.ร้อยเอ็ด ศิษยานุศิษย์ผู้มีปัญญาเลิศ ของหลวงปู่ทองมา ถาวโร
เป็นพระคาถาที่หลวงปู่ใช้ภาวนาเวลา และถ่ายทอดให้ลูกศิษย์มาจนถึงทุกวันนี้ สาธุhttps://www.facebook.com/LuangpuThongmaTawaro101

ตำนานพระธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ถาวโร



ตำนานพระธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ถาวโร

วัดป่าวัดธาตุอุปมุง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านสร้างบุ ต.โพธิ์ศรีสว่าง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด โดยวัดป่าวัดธาตุอุปมุงห่างจากหมู่บ้านสร้างบุ ประมาณ ๕oo เมตร เป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีอายุประมาณหลายร้อยปี 

แรกเริ่มเดิมทีพระธาตุแห่งนี้จะนำไปบรรจุไว้ที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม แต่เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นค่อนข้างจะลำบาก อย่างยิ่ง อีกทั้งทุรกันดาร ค่ำไหนนอนนั้น ข้ามป่าข้ามเขา กว่าจะถึงที่หมายต้องใช้การเดินทางเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้(บ้านสร้างบุ) คณะเดินทางก็ได้ทราบข่าวจากทางนครพนมว่า พระธาตุพนมได้สร้างเสร็จแล้วจึงได้ซ่อนพระธาตุไว้ในป่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นป่ารกทึบ คำว่า “อุปมุง” มีที่มาว่า เมื่อก่อนเพระธาตุเป็นแค่ “อูป” (มีลักษณะคล้ายเตาถ่าน) ในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้เป็นป่าดงดิบไม่ค่อยมีคนหรือสัตว์เลี้ยงเข้าไป เพราะมันน่ากลัวมากคนแก่คนเฒ่าเล่าว่า ถ้าหากว่ามีสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควายเข้าไปในเขตสถานที่นี้ แล้วจะชักตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เล่ากันว่าในดงแห่งนี้มี “เม่ง” (เม่งเป็นสัตว์คล้ายงูจงอางแต่ตัวใหญ่มาก) ในคืนวันพระพระจันทร์เต็มดวงจะมีเสียงกังวานมากภายในป่าแห่งนี้และมีเสียงร้องดังเหมือนเสียงของงูจงอางหรือแมงง่วง (จักจั่นใหญ่) ถ้าหากในวันพระวันใดได้ยินเสียงร้องของตัวเม่งจะมีคนนอนตายโดยไม่ทราบสาเหตุในคืนนั้น ทำให้ไม่มีใครเข้าไปในป่าแห่งนั้น ต่อมามีผู้พบเห็นพระธาตุอุปมุงเป็นคนแรกคือ หลวงปู่สิงห์ทอง(หรือหลวงปู่สิงห์) เล่าว่า หลวงปู่ท่านเป็นพระธรรมยุติ เดินธุดงค์ มาปักกลดที่ป่าแห่งนี้ ท่านได้นั่งสมาธิ ในระหว่างนั้นมีผีสางนางไม้มารบกวนท่านอยู่มิได้ขาด ท่านได้เทศนาบอกกล่าว แล้วจิตวิญญาณเหล่านั้นก็หายไป คงเหลือแต่เม่งที่ไม่ยอมฟังท่านเลย มีการต่อสู้กันทางใน (สมาธิจิต) เป็นเวลานาน ในที่สุดตัวเม่งเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้และยอมที่จะไม่รังแกสัตว์และมนุษย์อีก ต่อมาท่านก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ท่านก็รู้ทางสมาธิจิตว่าที่นี่มีพระธาตุและสารีริกธาตุอยู่ในที่แห่งนี้ ท่านจึงอยู่ประจำและสร้างวัดขึ้นในที่แห่งนี้ และตั้งชื่อวัดว่า #วัดป่าพระธาตุอุปมุง ท่านได้พาชาวบ้านสร้างที่ประดิษสถานพระธาตุขึ้นใหม่จากแต่ก่อนเป็นอูปเหมือนเต่าถ่านและได้ต่อเติมให้สูงขึ้น โดยนำดินเหนียวจากหนองผำ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด โดยนำดินเหนียวมาปั้นบนพิมพ์สี่เหลี่ยม แกะพิมออกแล้วตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปเผาไฟอีกทีหนึ่ง เสร็จแล้วนำไปก่อเป็นสถูปเจดีย์ โดยใช้ยางโบ่ง (เป็นยางไม้ชนิดหนึ่งที่มีความเหนียวมาก) เพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีปูนซีเมนต์ จึงเอายางไม้มาใช้แทน ท่านได้สร้างพระธาตุเพียงครึ่งองค์เท่านั้น ท่านก็มรณะเสียก่อน โดยท่านหลวงปู่สิงห์ทอง ได้กล่าวกับหลวงปู่ทองมา ก่อนจะมรณะว่า หากว่าเรา ตายไปแล้วนั้น ให้ท่านทองมา มาจำวัดอยู่ที่แห่งนี้เพื่อบูรณะองค์พระธาตุต่อให้เสร็จนะ (หลวงปู่สิงห์ทองเคยเป็นอาจารย์หลวงปู่ทองมา สมัยที่ท่านยังบวชเป็นสามเณรและเรื่อยมาจนเป็นภิกษุ) เมื่อหลวงปู่สิงห์ทองมรณะภาพลงแล้วนั้น หลวงปู่ทองมา ถาวโร จึงได้มาจำวัดอยู่ที่พระธาตุอุปมงต่อ

ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘o-๒๔๙๕ ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ องค์พระธาตุ โดยหลวงปู่ทองมา ถาวโร หลวงปู่ทองมาพร้อมทั้งชาวบ้านและญาติโยมได้สร้างสถูปครอบองค์พระธาตุจนสำเร็จ ว่ากันว่าสมัยตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ ข้างในจะเป็นโพรงสามารถเข้าไปกราบไหว้พระ ข้างในองค์พระธาตุได้ และในนั้นจะมีพระพุทธรูปซึ่งแกะสลักจากไม้ประมาณสิบกว่าองค์ รวมทั้งพระพุทธรูปทองเหลืองและหอกดาบสมัยเก่า (ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ในพระธาตุที่ปรักหักพังลงมาและทับโพรงนี้ไว้)

ประมาณในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อหลวงปู่ ทองมา ถาวโร ย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่ วัดสว่างท่าสี บ้านท่าสี ต.เกาะแก้ว อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด (ในสมัยนั้นปัจจุบันคือ อำเภอเสลภูมิ) เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ พระธาตุอุปมุงได้พังลงมาพร้อมกับพระธาตุพนม แต่พระธาตุพนมพังตอนกลางคืน ส่วนพระธาตุอุปมุงพังตอนกลางวัน เล่ากันว่าในคืนวันพระชาวบ้านจะเห็นแสงลอยออกจากพระธาตุไปทางทิศใต้ของวัดแสงนั้นมีลักษณะเป็นแสงสีขาวใส สวยงาม คล้อยแสงดาวหาง ในเวลากลางคืนช่วงที่เห็นมักจะเป็น ช่วงเวลา ๒ ทุ่ม ไปจนถึง ๓ ทุ่ม แสงที่ว่านี้จะลอยสูงจากพื้นดินประมาณ ๒-๓ ร้อย เมตร ลอยไปอย่างช้าๆ

ปัจจุบันวัดป่าพระธาตุอุปมง ยังมีให้เห็นและสามารถกราบนมัสการได้ แต่จะมีสภาพที่ทรุดตัว ทลาย เหมือนในรูป ส่วนหลวงปู่ทองมา ถาวโร หลังจากที่ท่านได้บูรณะพระธาตุอุปมงเป็นที่เรียบร้อย เสร็จสิ้น แล้ว ตามเจตนารมณ์ของพระอาจารย์สิงห์ทองที่ท่านสั่งไว้ ท่านก็เดินทางมาจำพรรษาที่ วัดสว่างท่าสี รวมเวลาที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าพระธาตุอุปมง ประมาณ ๑๕-๒o ปี ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้นท่านก็ได้โปรดชาวบ้านญาติโยมทั้งหลาย ให้อยู่ในศีล ในธรรม เทศนาเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าจนเป็นที่กล่าวขวัญมาจนถึงทุกวันนี้ สาธุการ

*******************************************************************************************

ตำนานวัดป่าวัดธาตุอุปมง กับหลวงปู่ทองมา ตอนหนึ่งมีตอนหนึ่งกล่าวว่า 
หลวงปู่ทองมา เรียก ผี มาผูกไว้กับต้นมะม่วง

สมัยนั้นวัดป่าวัดธาตุอุปมงพอสิ้นหลวงปู่สิงห์ทอง ก็ได้มีหลวงปู่ทองมา มาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เป็นเวลาสิบว่าปี หลวงปู่สิงห์ทองผู้เป็นครูได้ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้หลวงทองมา ถาวโร ในหลายๆด้าน เมื่อหลวงปู่ทองมา มาจำพรรษาท่านก็ได้บูรณะพระธาตุอุปมงจนแล้วเสร็จ และได้โปรดวิญาณร้ายที่มารบกวนชาวบ้าน จนเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านในแคล้วนั้น ครั้งหนึ่งมีวิญาณร้ายตนหนึ่งเที่ยวมา รบกวนหลอกหลอนชาวบ้าน ทำร้ายชาวบ้าน จนชาวบ้านหวาดกลัว โดยไม่เกรงกลัวต่อพระธรรมและหลวงปู่ทองมาเลยแม้แต่น้อย หลวงปู่ทองมา ท่านจึงต้องกำราบบ้างให้เข็ดหลาบ คืนวันนั้นหลวงปู่ได้เรียก วิญญาณร้ายตนนั้น มาผูกติดกับต้นมะม่วงหน้าวัด เพราะวิญญาณตนนี้เฮี้ยนนัก พูดดีๆไม่ฟังมีแต่จะหลบหนี หลวงปู่จึงจำเป็นต้องมัดไว้กับต้นมะม่วง และก็ให้ผีตนนี้ดื่มน้ำสาบานตนว่า ต่อไปนี้จะเลิกรบกวนและเลิกทำร้าย ชาวบ้านอีกต่อไป พร้อมทั้งเทศนาให้ผีตนนี้ได้ถึงบาปกรรมต่างๆ พอเสร็จพิธีหลวงปู่ก็ปล่อยวิญญาณตนนี้ไป ...

ตอนนั้นผมยังเด็กประมาณ 7 ปี ผมได้ไปเข้ากรรม (ปฏิบัติธรรมที่เข้มงวด) ที่วัดพระธาตุอุปมงกับยายพอเข้ากรรมเสร็จแม่มารับผมกับยายประมาณตอน 5 ทุ่ม พอออกมาถึงทางเข้าวัดที่มีต้นมะม่วงใหญ่ ต้นมะม่วงมันสั่นผมดูแล้วไม่น่ามีใครมาสั่นเพราะมันดึกแล้ว แม้แต่ลมพัดก็ยังไม่มี ยายเลยพูดขึ้นมาลอยๆว่าไม่ต้องไปส่งหรอก รู้แล้ว ตอนนั้นผมยังคิดอยู่ว่าไม่เห็นมีใครมาส่งสักคนเลย 

หรืออาจเป็นไปได้ว่า ผีตน นั้นผิดคำสาบาน เลยถูกมัดจองจำอยู่แบบนั้นหรือปล่าว หรืออาจเป็นไปได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เฝ้าบริเวณทางเข้าประตูวัดอาจจะทักทายและพลอยยินดีปรีดา ที่ผมกับยายได้มาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ สาธุ ถึงยังไงก็ตาม เรื่องราวของพระธาตุอุปมงหลวงปู่สิงห์ทองและหลวงปู่ทองมา ก็ยังคงเป็นเรื่องจริงของญาติโยมชาวบ้านที่นั้น และจะยังคงอยู่ในความศรัทธาเลื่อมใส ของชาวบ้านตลอดกาล สาธุ สาธุ สาธุ 

ขอบคุณสมาชิกที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ณ โอกาสนี้

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

หลวงปู่ทองมา ฆ่าเสือมือเปล่า

๑ ศรัทธาปาฏิหารย์ (บทพิเศษเป็นแต่งผญา)

ตอน ฆ่าเสือมือเปล่า
มาบัดนี่ มาสิกล่าว เป็นผญา
ขององค์หลวงปู่ทองมา หันมาฟังทางนี้
สิตัดตอน มาไห่ ตอนธุดงค์ ยุไพรป่า
กับอาจารย์ ซื่อคำภา ผู้เพิ่ลสอน ไห่เฮียนฮู้
ฟังเบิ่งดู้ ฟังเบิ่งเอา...
มามื้อนี้ ทองมานั้น อยากออกไป อยู่ในป่า
คูบาคำ-ภาเจ้า บ่ขัดข่อง เคืองใจ
เอ้าฮันนี้ ว่าอยากไป ยุ่ในป่า..ว่าตี้
พอสิถึง เวลา ให้เจ้า ทองมานี่
เตรียมจัดแจง อัฐะเจ้า บริขาร อย่าได้ขาด
เทิงบาตรขัน กาน้ำ ฮ่มได้ บ่อนเซา
หย่างไปดง บ่อนนั้น บ่อนสงบ เงียบงัน
ไห่เจ้าฟ้าว ไปสา เดินดุมไป ทางทิศนั้น
อย่าท่าคอย ตะเว็นค้อย มันสิค่ำ กลางทาง
ไห่ไปฮอด ไปเถิง ก่อนค่ำ ตะเว็นมืด
เฮามีควม สั้นสั้น จื่อไว้ ไห่เจ้าฟัง
ได้ยินเสียง อีหยัง อย่าได้วาย ตื่นเต้น
สติ ต้อง ตื่นโต...
ไห่เจ้าทอง มานี่ อยู่แต่ ในกรด
อย่าสิออก นอกมุ้ง เป็นแท้ ให้จื่อเอา ...เด้อทองมา
ข้าน้อยขอ ลาก้อน ลาก่อน เด้อจารย์
มันสิค่ำ เดินทาง งมซาว มืดฟ้า
ขอลาแล้ว ออกดุ่ม เดินไป
ห่างจากศา-ลาวัด หลายโล คือเว้า
จ้ำเข้าจ้ำ หย่างเอา ปานแล่น
ย่านมันมืด ต่อนหน้า สิเข้าป่า บ่อทัน...ตั้ว
เอ้าล่ะ หม่องนี้ล่ะ หม่องเป็น ตาอยู่
พอแต่ปัก กรดแล้ว ตะเว็นค้อย กะตกดิน
แมงจักจั่นแจ้ว จ้าวแจ้ว เสียงหวาน
ฮ้องจนดัง กังวาน ทั่วดง แดนนี้
เทิงเสียงนก เสียงค้าง สัตว์สา วาสิ่ง
เสียงลิงฮ้อง เอิ้นลูก ฟังแล้ว กะม่วนหู...อยู่เด้
บัดตกดึก มาแล้ว มาเงียบคัก ปานป่าผี
มีแต่เสียง ลมพัด ใบไม้ตีง ยามลมต่อง
ดีดีแล้ว สิภาวนา สาก่อน
ดึกดึกบาดนี้ บ่มีแนว มากวนกาย ..แท้แหล่ว
พุทธโธ พุทธโธ พุทธโธ
ว่ายุนี้ หายใจ เข้า-ออก
ใจกะคึด ฮอดบ้าน คิดฮอด บ่อนเซา
เพิ่ลคูบา กะสอนไว้ อย่าได้หน่าย ว่าพุทธโธ
โตมันหัด ทันแข็ง มันกะมี หน่ายบ้าง
ขันติ นั้นซอยได่หลาย....
พอแต่ดวง จันท์ค้อย เอียงทาง มาเน
คาดว่าตี สองแล่ว จั่งสิได่ เอนกาย
ฮ้วย ฮ้วย ฮ้วย เสียงดัง แก๊บบ ๆ
มันแม่นเสียง อิหยัง มาหย่างเดิก ปานนี้
หือแม่นเสียง โจรนั้น โจรป่า มาปล้น
มันบ่อแม่น เสียงคน หย่างดัง ปานนี้
ฮ่วย ฮ่วย ฮ้วย หือแม่นเสียง ผีป่า
มาหลอกพระ หลอกเจ้า มันเป็นบาป
มันเป็นกรรม...แท้เด้
ฮ้วย ฮ้วย ฮ้วย ไห่เจ้าเซาหย่าง สาก่อน
อย่ามาหา ก่อกวน พระผู้ทรง ศีลเจ้า
เสียงหย่างย่อง วนอยู่ ข้างกรด
มันบ่อหนี ไปไส หย่างแฮง ดังขึ้น
เอ้าบาดนี้ สิเปิดกรด ลองเบิ่ง
ไห้มันเห็น แก่นแท้ โตนั้น แม่นหยัง
หาเทียนไต้ จุดไฟ เบิ่งกะน้า
มันแม่นโต อิหยัง มาคอยวน เวียนรอบ
บาดแต่เบิด มุ้งขึ้น ขนลุก เหมิดคีง
หันสิตีงไปไส กะหนีไป บ่อได่
มันเป็นเสือ กลอนฮ้าย ลายพาด กลอนใหญ่
ตาใสปาน ลูกแก้ว แวววับ กว่าแสงเทียน
มันมาคอย เวียนวน จอบยอง กินซี้น
โตกะใหญ่ สูงฮ้าย ว่าปาน งัวน้อย
สิมาจอบ กินเฮา ยามหลับ เป็นได่
พอตะมี สติได่ จำควม เพิ่ลอาจารย์
แม่นสิพ้อ อันได่ กะอยู่แต่ ในหม่องนี้
อย่าหาแล่น แต่ทางหนี...
นอนบ่หลับ ฮอดเซ้า ตะเว็นขึ้น ฟ้าสาง
ออกหาทาง มาวัด มากล่าวจา อาจารย์เจ้า
เป็นซั่งซี้ ล่ะคูบา.......
เพิ่ลอาจารย์ คำภา กะหัวเราะ ยิ้มเป้ย ๆ
ตายไปน้อ ทองมาเจ้า ผู้นั่งเว้า ยุต่อหน้า..นี้น้อ
อย่าสิท้อ อย่าสิหวั่น ไห่เจ้าหัน ลงก้มหน้า
เบิ่งผ้าจีวร...เด้อ...
ผ้าผืนนี้ ซื่อว่าผ้า พุทธโธ
โตเจ้านั้น ซื่อว่า ลูกบรมเจ้า อย่าได้กล่าว ว่าลูกไผ
เฮาได้น้อมถวาย ตายเพื่อพลี ธรรมะเจ้า..แม่นบ่
ไห่เจ้าไป คืนนี้ ลองเบิ่ง อีกจักเทื่อ ไห่เจ้าเอา ธรรมนั้น
ต่อสู้กับเสือ พอได้ฟัง จารย์เว้า น้าตานอง อยู่ในหน่วย
เฮามา ขี้ล้ายแท้ เสียชาติ ลูกพุทธโธ ...
เอาคืนนี้ สิกลับไป ควมเพิ่ลว่า
มันสิตาย กะบ่ย้าน ตำนานนั้น ได้ซาลือ
ก่อนสิไปคืนนี้ ของดี มีไห่ ได่เอาปูน หมากเคี้ยว
ติดย่ามไปนำ คันได้พ่อ เสือนั้น ไห่เอาปูน บาดคอเสือ
มันสิเหมิด เฮื่อแฮง สิ้นลาย แดดิ้น...
ฟังเพิ่ลจารย์ ว่าแล้ว อดหัวยุในใจ
มันสิตาย บ่อนได่ เสือลาย โตนี้
แต่เพิ่ลเอา ปูนไห่ เอาไว่ สาก่อน
ติดย่ามไว่ เบาแท้ กว่าหิน
ตัดมาตอน ดึกเงียบ เข้ามาหา บ่อนเก่า
บ่อนเคยพ่อ เสือฮ้าย คืนนั้น บ่ทันลืม
ดึกดึกนี้ นั่งอยู่ ภาวนา บ่ได้ยินเสียงหยัง
เงียบงัน ปานนี้ ... บ่นั่งโดน รอซ้า ขวบเก่า มาถึง
ฮอดเวลาตีสอง เสียงหย่าง มาอีกแหล่ว
มาบัดนี้ บ่ได้วาย ย้านแล่น หัวใจแกร่ง แข็งกล้า
มานั่งถ้าแต่โดนๆ ...มาโลด
ได้ยินเสียง คำรามก้อง สนั่นป่า เวลาดึก
ใจกะคอง ตั้งถ้า เวลานี้ ไห่หย่างมา
พอแต่เปิดมุ้งแล้ว เหลียวหา บ่ต้องยาก
หากว่าเสือ โตนี้ ยืนถ้า บ่อนเดิม
พอแต่เห็น ท่อนั้น ใจกะหวั่น อยู่ในเอิก
แม่นสิบ่ ย้านตาย กะย้านเจ็บ ปวดร้าว
พอแต่คิด ฮอดพ่อ ปูนขาว เคี้ยวหมาก
เพิ่ลอาจารย์ สั่งไว้ จกปาด คอเสือ
เปิดกับออก เอานิ้วมือ จกปูนขาว
สิไปปาด คอมัน บ่ได้รี รอรั้ง
กลั้นหายใจ เอาไว้ เด่มือ สาก่อน
เสือมันยืน ยุต่อนหน้า ทองมานั้น ปาดคอเสือ
ทองมานั้น สู้กับเสือ ...
แล้วๆนั้น เอนกาย ลงนอน อย่าสิไป ออนซอน
เสือได้หนี ไปแล้ว คันบ่หนี ถวายแล้ว ชีวัน สังขาร
สิมากินตอนได่ กะคาบไป เอาโลด
ฮอดตอนนี้ แดดส่อง พสุธา
ฟังแต่เสียง ไก่ป่า ขันปลุก ลุกเซ้า
มองเบิ่ง แขนขานี้ กะบ่มี หยังขาด
บ่มีบาด แผลเลือด คมแข่ว เล็บเสือ
ฮู้ว่าเฮา ผุ้นี้ ยังบ่ทันตาย กะสิฟ้าว ต่าวเตื้อง
เข้าสู่อาราม...ถ่อนตั้ว
พอบายกา น้ำได่ รินหลั่ง ลงขัน
ว่าสิเอามาเท ล้างตา หู ปาก
คันแต่ยก ขันขึ้น สะยานฮ้อง ตกใจ
มองไปเห็น เงาขัน คือคอ ขาวพาด
พอสิทิ่ม ขันน้ำ เหมิดเฮื่อ อ่อนแฮง
เสือที่เฮา ว่าฮ้าย มันซางเป็น แนวนี้
มันคือเสือ โตนี้ โตใหญ่ ในจิต
มันเป็นเสือ ความคิค วนอยู่ใน หม่องนี้
บัดนี้ได่ ฮู้แจ้ง ฮุงเฮือง ปัญญา
เพิ่ลอาจารย์ คำภา เพิ่ลกะมี ญานแท้
ไห่เอาปูน เคี้ยวหมาก ต่อสู้กับเสือ
มันบ่อแม่น เสือหยัง กะเสือเฮา โตนี้
สิค่อยคอย ฝึกกล้า ฝึกวิชา ไห้กล้าแก่
หนหางไกล ยุบ่อนหน้า นิพพานพ่อ อยู่บ่ไกล
นิพพานนั้น อยู่บ่ไกล แท้แหล่ว..ทองมาเอย
ประพันธ์โดย นิโรธ ณ หนองแค

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

งานกราบนมัสการคาราวะหลวงปู่ทองมา ถาวโร เกจิอริยสงฆ์แห่งเมืองร้อยเอ็ด


งานกราบนมัสการคาราวะหลวงปู่ทองมา ถาวโร เกจิอริยสงฆ์แห่งเมืองร้อยเอ็ด
๓ - ๔ มีนาคม ๒๕๕๘  ของศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ณ วัดสว่างท่าสี  บ้านท่าสี ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด



เสียงเทศน์เสียงธรรม เสียงจริง 


หลวงปู่ทองมา ถาวโร เกจิอริยสงฆ์แห่งเมืองร้อยเอ็ด
ขอบคุณท่านที่มีส่วนร่วมในการบันทึกเสียงของหลวงปู่ ที่ทำให้เราท่านทั้งหลาย ลูกหลานได้ฟังมาจนถึงตอนนี้หากแม้ท่านเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้วก็ขอให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ ขอให้เสียงธรรมหลวงปู่นี้ดังกึกก้องกังวาลดังไปให้ท่านได้ยินแม้ท่านจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม หากแม้ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นก็ขอให้ท่านมีความสุขยิ่งๆขึ้นไป ขออนุโมทนาสาธุ ในบุญๆนี้ ด้วยเทอญ ฯ  
ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๘